“สุภโชค-เอกนิษฐ์” เจ็บ “โค้ชอิชิอิ” เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ขออุบชื่อคนแทน อาเซียนคัพ 2024
วันที่ 13 ธ.ค. 67 จากกรณีที่ ทีมชาติไทย จะขาด 2 นักเตะคนสำคัญในเกมเปิดบ้านพบ มาเลเซีย เนื่องจาก เอกนิษฐ์ ปัญญา เจ็บข้อเท้าจากการซ้อมหนล่าสุด และ สุภโชค สารชาติ ส่อไม่ได้ลงเล่นอีกราย หลังยังซ้อมกับเพื่อนไม่ได้ ต้องฟื้นฟูความฟิตตลอด 2 วันที่ผ่านมา
ล่าสุด มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่น ของ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ออกมาตอบเรื่องอาการบาดเจ็บของ 2 คน โดยยืนยันว่าเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว แต่ขออุบไว้ก่อนว่าจะส่งใครลงเล่นแทน
อิชิอิ กล่าวว่า “เรื่องอาการเจ็บของ เอกนิษฐ์ และ สุภโชค 2 คนนี้มาร่วมทีมกับเราหลังสุด เราได้วางแผนไว้ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะมาแล้ว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า จะเอาใครมาแทน แต่มีคนที่วางเอาไว้แล้ว”
“เกมที่เราเจอติมอร์ เลสเต เราได้วิเคราะห์เกมของเขามาก่อนหน้านี้ ซึ่งพอลงไปเล่นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่วิเคราะห์มา เช่นกันกับเกมที่จะเจอมาเลเซีย เราได้วิเคราะห์การเล่นของพวกเขามาเหมือนกัน แต่ตามความเป็นจริงเราต้องรอดูสถานการณ์จริงว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งหลังเกมทุกเกมผมจะมาประเมินความเข้าใจของนักเตะมากกว่าว่าในการลงไปเล่นสามารถเข้าใจแท็กติกได้มากแค่ไหน และสามารถต่อยอดการเล่นร่วมกันได้ดีขนาดไหน”
“แต่ละประเทศยังมีการแข่งขันภายในประเทศอยู่ ซึ่งช่วงระหว่างมีการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ ทำให้อาจจะเลือกนักเตะที่ดีที่สุดมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นประเทศที่มีฟีฟ่าแรงกิ้งดีกว่าอาจจะไม่ได้นักเตะที่ดีที่สุด ผมมองว่าผลการแข่งขันที่จะออกมาไม่เกี่ยวกับฟีฟ่าแรงกิ้ง เพราะอาจจะมีหลายปัจจัยทั้งเวลาเตะที่อาจจะมีการพักเวลาน้อย ทำให้มีผลกับการแข่งขันด้วย ซึ่งทีมของเราจะพยายามเตรียมทีมให้ดีที่สุด อาจจะไม่ได้นักเตะชุดที่ดีที่สุด แต่จะพยายามทำให้เต็มที่ในทัวร์นาเมนต์นี้”
“เกมเจอกับลาว เขามีโอกาสยิงน้อย แต่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ ทำให้ผลในนัดนั้นเสมอ แต่หากถามถึงรายละเอียดเกมผมค่อนข้างจะพอใจในการเตรียมทีมช่วงนั้น ส่วนในรายการนี้ผมมองว่าเราเตรียมไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ซึ่งเราจะไม่ทำให้โอกาสที่เรามีพลาดหลุดมือไป”
โปรแกรมนัดต่อไปของ ทีมชาติไทย จะทำศึกอาเซียนคัพ 2024 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่สอง กลุ่มเอ พบกับ ทีมชาติมาเลเซีย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 20.00 น.
ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 จะถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 19.30 น. พร้อมช่องทางออนไลน์ Facebook Thairath TV, YouTube : Thairath TV Originals และเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ / ไทยรัฐสปอร์ต